Contact Info

  • Head Office

    P.A.S. Export & Silo Co.,Ltd.

    2/11 Bhisarn Suntornkij Rd. Sawankaloke Sukhothai 64100

  • Ph : 0-5564-1200-3
  • Fx : 0-5564-1215
  • View our location


  • Branch
    P.A.S. Export & Silo Co.,Ltd.
    105/10-12 Naret Rd. Bangkok 10500
  • Ph : 0-2235-7681-4
  • Fx : 0-2237-1649
  • View our location
  • Contact Form

    ข้อสรุปในเรื่องการเลือกใช้น้ำมันพืชสำหรับบริโภค

    July 31, 2015

    สนับสนุนข้อมูลโดย อาจารย์นายแพทย์ ปริย พรรณเชษฐ์ หน่วยโภชนวิทยา และชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ตัวย่อที่สำคัญ : SFA = Saturated fatty acids ( กรดไขมันอิ่มตัว ) MUFA = Monounsaturated fatty acids ( กรดไขมันไม่อิ่มตัวพันธะคู่หนึ่งตำแหน่ง ) PUFA = Polyunsaturated fatty acids ( กรดไขมันไม่อิ่มตัวพันธะคู่หลายตำแหน่ง ) MCT = Medium chain triglyceride ( ไตรกลีเซอไรด์สายขนาดกลาง ) #ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไขมันและน้ำมันพืช 1.ไขมันทุกชนิดล้วนให้พลังงานสูง รับประทานมากไปก็ก่อโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ ควรรับประทานในปริมาณเหมาะสม คือพลังงานร้อยละ 35 ของทั้งหมดในแต่ละวัน ( อีก ร้อยละ 50 จากคาร์โบไฮเดรต [...]

    สนับสนุนข้อมูลโดย อาจารย์นายแพทย์ ปริย พรรณเชษฐ์ หน่วยโภชนวิทยา และชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

    ตัวย่อที่สำคัญ

    : SFA = Saturated fatty acids ( กรดไขมันอิ่มตัว )

    MUFA = Monounsaturated fatty acids ( กรดไขมันไม่อิ่มตัวพันธะคู่หนึ่งตำแหน่ง )

    PUFA = Polyunsaturated fatty acids ( กรดไขมันไม่อิ่มตัวพันธะคู่หลายตำแหน่ง )

    MCT = Medium chain triglyceride ( ไตรกลีเซอไรด์สายขนาดกลาง )

    #ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไขมันและน้ำมันพืช

    1.ไขมันทุกชนิดล้วนให้พลังงานสูง รับประทานมากไปก็ก่อโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ ควรรับประทานในปริมาณเหมาะสม คือพลังงานร้อยละ 35 ของทั้งหมดในแต่ละวัน

    ( อีก ร้อยละ 50 จากคาร์โบไฮเดรต อีก ร้อยละ 15-20 จากโปรตีน )

    แม้ไม่ได้จากน้ำมันพืช เราก็มักได้ไขมันปนมากับอาหารเพียงพออยู่แล้ว จึงควรใช้น้ำมันพืชไม่ต้องมาก หรือไม่ต้องมาหากินเสริมเพื่อหวังผลว่าช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

    2. น้ำมันพืชทุกชนิดมี SFA , MUFA , PUFA อยู่ปะปนกัน เพียงแต่สัดส่วนมากน้อยต่างกัน เราจึงมักเรียกสัดส่วนที่มากที่สุดเป็นตัวแทนน้ำมันนั้นๆ เช่น น้ำมันปาล์มมีทั้ง SFA , MUFA , PUFA แต่มีสัดส่วน SFA มากสุด จึงมักจัดในกลุ่มน้ำมัน SFA

    SFA : ตัวอย่าง น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม

    MUFA : ตัวอย่าง น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา

    PUFA : ตัวอย่าง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง

    ตารางไขมันชนิดต่างๆ :

    3.ผลต่อไขมันในเลือดที่จะนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ ตามหลักฐานพบว่า

    ( LDL – ไขมันร้าย , HDL – ไขมันดี )

    PUFA ลด LDL แต่ลด HDL ด้วย

    MUFA ลด LDL ไม่มีผลกับ HDL

    SFA เ พิ่ม LDL เพิ่ม HDL

    Transfat เพิ่ม LDL ลด HDL

    จากสิ่งนี้จึงเรียงได้เป็น (ดีสุด) MUFA>

    PUFA >=SFA>>>>>>>>>> Trans fat (แย่สุด)

    4. จากความรู้ในข้อ 3 ข้อแนะนำล่าสุดจาก American diabetic association ( ADA ) ในสัดส่วนไขมันที่ควรได้รับคือ

    Total daily energy from fat 35 % แบ่งเป็น

    - MUFA up to 20%

    - PUFA up to 10%

    - SFA < 7%

    - Trans fat < 1% of total energy

    อ้างอิง (ดูหน้า V-4 ตาราง V2-1, V2-2)

    http://www.nhlbi.nih.gov/guidelines/cholesterol/atp3full.pdf

    > สมัยหนึ่งจะแนะนำสัดส่วน PUFA มากกว่าแต่ตอนหลังพบ MUFA ให้ประโยชน์มากกว่า จึงเปลี่ยนยกขึ้นมาไว้มากสุด PUFA รองลงมา และตามด้วย SFA และ Trans fat ที่ไม่ควรมี

    5. ในแง่ของการนำไปใช้ปรุงอาหาร

    - PUFA เหมาะสำหรับทำอาหารที่ผ่านความร้อนไม่นาน เช่น อาหารผัด ไม่ควรใช้ทอดอาหารเนื่องจากถ้าผ่านความร้อนสูงเป็นเวลานานหรือใช้ซ้ำๆจะทำให้กลายเป็น Trans fat ไขมันที่ร้ายที่สุด

    - MUFA แม้คุณสมบัติดีแต่ไม่เหมาะในการรผ่านความร้อน ควรใช้สำหรับรับประทานสด

    เช่นน้ำมันมะกอก

    - SFA เหมาะสำหรับใช้ทอดอาหาร deep fried ไฟแรง เพื่อไม่ให้เกิดการกลายเป็น Transfat แบบใน PUFA

    > SFA ที่แนะนำคือ น้ำมันปาล์ม ( ในต่างประเทศคือ น้ำมันถั่วลิสง )

    > แต่น้ำมันมะพร้าวยังไม่แนะนำในการทอดอาหารเพราะคุณสมบัติที่เป็น MCT

    (ไตรกลีเซอไรด์สายสั้น Medium chain triglyceride) ทำให้ไม่เหมาะต่อการโดนความร้อน , เหม็นหืนง่าย รสชาติอาหารจะไม่ดีนัก และหากรับประทานมากๆอาจท้องเสียได้

    6. ความรู้เรื่องของ ไตรกลีเซอไรด์สายสั้น ( Medium chain triglyceride : MCT )

    เพราะมักมีคนอ้างถึงข้อดีของ MCT ในน้ำมันมะพร้าวกันมากว่าย่อยง่าย

    ในยามร่างกายปกติร่างกายจะดึงเอา ไตรกลีเซอไรด์สายยาว ( Long chain triglyceride : LCT ) เข้าไปใช้ได้ง่ายโดยใช้สิ่งที่เรียกว่า L-carnitine เป็นตัวช่วย

    แต่ยามร่างกายเจ็บป่วย L –carnitine จะลดลงทำให้ดูดซึม LCT ไปใช้ไม่ดี

    > ดังนั้นอาหารสำหรับผู้ป่วยทางการแพทย์จึงใช้เป็น MCT ( แบบเดียวกับน้ำมันมะพร้าว ) เพราะดูดซึมได้ทันทีแม้ไม่มี L-carnitine

    แต่หากเรานำ MCT มาใช้ในชีวิตประจำวันในคนปกติมากๆ ไขมัน MCT นี้ก็จะเข้าสู่เซลล์ปริมาณมากอย่างวไม่มีเบรค อาจทำให้เราได้รับไขมันมากเกินไป มีการพบความสัมพันธ์ระหว่างไขมันจับในตับกับการใช้ MCT มากเกินไปด้วย

    ### สรุปการนำไปใช้ สำหรับในบ้านเรา ###

    ถ้าจะให้ดีในครัวควรมีน้ำมันพืชสองขวด

    ขวดที่ 1 : น้ำมันพืช PUFA ( น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด

    น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น ) สำหรับอาหารผัด หรือไฟอ่อน

    ขวดที่ 2 : น้ำมันพืช SFA ( น้ำมันปาล์ม ) สำหรับอาหารทอดหรือ ไฟแรง ( แต่ไม่ควรกินเยอะ )

    แต่อาจารย์ก็บอกว่าที่บ้านก็มีขวดเดียวคือ PUFA เพราะไม่สับสน 555

    และใช้การลดการกินของทอดไม่ให้มากเอา